รายงานข่าวจาก สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ บอร์ด กสทช.มีมติรอผลการศึกษาผลกระทบต่อเศรษฐกิจแและ ผู้บริโภคจาก บริษัทวิจัยต่างประเทศ คือ SCF Associates เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในการลงมติกรณีควบรวมระหว่างทรู-ดีแทค ในวันที่ 20 ต.ค. นั้น โดยเมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา สำนักงานฯ ได้รับรายงานผลการศึกษาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งการว่าจ้างครั้งนี้จะมีผลการศึกษา 3 ส่วน ส่งมาแล้ว 2 ส่วน คือ เมื่อวันที่ 14 ก.ย. และวันที่ 14 ต.ค. และ กำหนดส่งอีกครั้ง 14 พ.ย. แต่บอร์ด กสทช.จะไม่รอผลการศึกษาในส่วนที่ 3 แล้ว จะใช้ข้อมูลผลการศึกษา 2 ส่วน ก็เพียงพอในการลงมติ เนื่องจากเอกชนผู้ยื่นควบรวมได้ส่งหนังสือเร่งรัดมาเนื่องจากเวลาล่วงเลยมาเกือบ 1 ปีแล้ว
น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) กล่าวว่า รายงานผลการศึกษาจากที่ปรึกษาเอกชน ที่สำนักงาน กสทช. ได้รับเมื่อวันที่ 14 ต.ค. ได้มีการเผยแพร่ผ่านสื่อบางแห่ง พบว่า จะมีผลกระทบต่อกลุ่มคนจน และคนชายขอบจะถูกมองข้ามในการบริการที่ไม่ทั่วถึง การให้บริการจะเน้นไปในกลุ่มคนรวยในเมือง หรือชุมชนหนาแน่นที่จะสร้างกำไรได้มากกว่า รวมถึงมีผลต่อการแข่งขันที่ลดลง และราคาค่าบริการที่สูงขึ้น ทำให้ประเทศล้าหลังด้านดิจิทัล ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของ คณะอนุกรรมการฯทั้ง 4 ชุด ที่ กสทช.ตั้งขึ้นเอง จึงอยากเรียกร้องให้ สำนักงาน กสทช. เปิดเผยข้อมูลผลศึกษา และรวมถึงการลงมติของบอร์ด กสทช.แต่ละท่านในวันที่ 20 ต.ค. ซึ่งถือเป็นข้อมูลสาธารณะ ที่ กสทช.ต้องเปิดเผยการดำเนินงานของ กสทช.และสำนักงานฯ ต่อสาธารณะ ตาม พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ฯ ทางเว็บไซต์หรือช่องทางอื่นที่เห็นสมควร ซึ่งรวมถึงผลการศึกษาวิจัยที่ว่าจ้างหน่วยงานภายนอกดำเนินการด้วย
“ผลการศึกษาล่าสุดจากต่างประเทศ สอดคล้องไปในทางเดียวกันว่าไม่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภค จะทำให้ไทยล้าหลังไป 10 ปี มากกว่าประเทศฟิลิปปินส์ และค่าบริการมีราคาสูงขึ้น 200 % ซึ่งการลงมติในวันที่ 20 ต.ค. นี้เป็นอำนาจของกสทช. แต่ สอบ.หวังว่าจะลงมติ ไม่ให้เกิดการควบรวม แต่หากมีการอนุญาต ทาง สอบ. ก็จะมีการฟ้องร้องต่อศาลปกครองต่อไป ส่วนกรณีที่มีทนายได้ฟ้องร้องต่อตนที่มีการนำข้อมูลผลการศึกษามาเปิดเผยนั้น ยืนยันว่าเป็นข้อมูลที่มีสื่อนำเผยแพร่อยู่แล้ว และเป็นการทำงานตามหน้าที่ ที่กฎหมายกำหนดที่ต้องคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และ สอบ.จะมีการยื่นหนังสือต่อ กสทช.อีกครั้งภายในวันที่ 20 ต.ค.นี้” น.ส.สารี กล่าว
ขณะที่ ทางเครือข่ายสลัมสี่ภาค เข้ายื่นจดหมายต่อ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยสาระสำคัญของหนังสือร้องเรียน ระบุถึงข้อกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพการแข่งขันและมีอำนาจเหนือตลาดในธุรกิจโทรคมนาคมหลังการควบรวม และ ประเด็น ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านดิจิทัล ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติทางการค้า และราคาค่าบริการที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค
ซึ่งหาก กสทช. อนุมัติให้ควบรวมทรู-ดีแทค จะทำให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ทั้งในต่างจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลจะถูกทอดทิ้งและไม่ได้รับการบริการสัญญาณโทรศัพท์ และสัญญาณอินเทอร์เน็ต รวมถึงผู้มีรายได้น้อยที่อยู่ในเมืองที่จะต้องเสียค่าบริการสูงขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น การพิจารณาอนุญาตให้เกิดการควบรวม จึงอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิการใช้ทรัพยากรสาธารณะของประชาชน
ด้าน น.ส. สุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้รับหนังสือ กล่าวว่า จะนำเรื่องที่ภาคประชาชนเสนอนำสู่วาระการกลั่นกรองช่วงบ่ายวันนี้ (17 ต.ค. ) เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะ กสทช.จะพิจารณาดีลควบรวมทรู-ดีแทค วันที่ 20 ต.ค.นี้